วันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

วิเคราะห์ข้อสอบ O-Net คอมพิวเตอร์ (5 ข้อ)

 ข้อที่ 1 


เเนวคิด
  -หมายเลข 1 คือ เมาส์
  -หมายเลข 2 คือ CPU
  -หมายเลข 3 คือ หน้าจอ
  -หมายเลข 4 คือ KEYBOARD
ดังนั้น คำตอบที่ถูกต้องคือข้อ 1

ข้อที่ 2




เเนวคิด 
   - อินเตอร์เน็ต คือ ระบบเครื่องข่ายขนาดใหญ่ซึ่ง สามารถคิดต่อถึงกันได้ทั่วทั้งโลกเหมือนเครือข่ายใยเเมงมุม ดังนั้นข้อ 4 ถูกต้อง


ข้อที่ 3



เเนวคิด
  -ข้อ 1 การใช้อินเตอร์เน็ตเเบบเป็นกันเองนั้นอาจจะใช้ได้ถ้าคนที่คิดต่อเป็นเพื่อนหรือคนรู้จัก เเต่สำหรับการติดต่อทุกคนด้วยความเป็นกันเองนั้นไม่ควรกระทำโดยเฉพาะคนที่เราไม่รู้จัก
  -ข้อ 2 การใช้ในการดูรูปตามกระเเสนั้นทำได้เเต่ต้องดูตามความเหมาะสม
  -ข้อ 3 เยาวชนที่มีอายุน้อยเเละยังไม่บรรลุนิติภาวะไม่ควรติดต่อบุคคลเเปลกหน้าโดยไม่ผ่านผู้ปกครองเพราะอาจเจอมิจฉาชีพ หรือ บุคคลไม่พึงประสงค์ได้
  -ข้อ 4 การใช้นามแฝง เเละ ไม่บอกที่อยู่ เเละ หมายเลขโทรศัพท์เป็นเรื่องที่พึงกระทำในอินเทอร์เน็ต เพราะอาจจะป้องกันข้อมูลส่วนตัวของเราจากมิจฉาชีพได้
   ดังนั้นข้อ 4 จึงเป็นข้อที่ถูกต้องที่สุด

ข้อที่ 4 



เเนวคิด 
  - ข้อที่ 1 คือดินสอที่ใช้ขีดเขียนวาดเส้น
  - ข้อที่ 2  คือตัวที่ช่วยในการสร้างวงกลม
  - ข้อที่ 3  คือที่ดูดสีสามารถดูดสีที่เราต้องการมาใช้ได้
  - ข้อที่ 4  คือยางลบไว้ลบสิ่งต่างๆ ที่เราสร้างไว้
 ดังนั้นการเขียนคำอวยพรควรใช้เครื่องมือจากข้อที่ 1 

ข้อที่ 5 



เเนวคิด
  - ข้อที่ 1 ลำโพง เป็นอุปกรณ์ที่ทำให้เกิดเสียง CPU มีหน้าที่ในการประมวลผล
  - ข้อที่ 2 ฮาร์ดดิสก์  ซีดีรอม ทั้งคุ่เป็นหน่วยความจำของคอมพิวเตอร์
  - ข้อที่ 3  เเฟลชไดร์ฟ เป็นตัวรับส่งข้อมูลขนาดเล็กขนาดพกพาใช้เก็บข้อมูลเช่นเดียวกับฮาร์ดดิสก์ เเละ KEYBOARD  ใช้ในการสั่งการคอมพิวเตอร์
  - ข้อที่ 4  จอภาพเป็น ตัวเเสดงผล เเละ เครื่องพิมพ์เป็นการรับข้อมูลเเละทำการเเสดงออกมา 
 เนื่องจาก ฮาร์ดดิสก์  ซีดีรอม ทั้งคุ่เป็นหน่วยความจำของคอมพิวเตอร์ จึงตอบข้อที่ 2 
เครดิค https://drive.google.com





































วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2558



Java คืออะไร

     Java หรือ Java programming language คือภาษาโปรแกรมเชิงวัตถุ พัฒนาโดย เจมส์ กอสลิง และวิศวกรคนอื่นๆ ที่บริษัท ซัน ไมโครซิสเต็มส์ ภาษานี้มีจุดประสงค์เพื่อใช้แทนภาษาซีพลัสพลัส C++ โดยรูปแบบที่เพิ่มเติมขึ้นคล้ายกับภาษาอ็อบเจกต์ทีฟซี (Objective-C) แต่เดิมภาษานี้เรียกว่า ภาษาโอ๊ก (Oak) ซึ่งตั้งชื่อตามต้นโอ๊กใกล้ที่ทำงานของ เจมส์ กอสลิง แล้วภายหลังจึงเปลี่ยนไปใช้ชื่อ "จาวา" ซึ่งเป็นชื่อกาแฟแทน จุดเด่นของภาษา Java อยู่ที่ผู้เขียนโปรแกรมสามารถใช้หลักการของ Object-Oriented Programming มาพัฒนาโปรแกรมของตนด้วย Java ได้ 
     ภาษา Java เป็นภาษาสำหรับเขียนโปรแกรมที่สนับสนุนการเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุ ( OOP : Object-Oriented Programming) โปรแกรมที่เขียนขึ้นถูกสร้างภายในคลาส ดังนั้นคลาสคือที่เก็บเมทอด (Method) หรือพฤติกรรม (Behavior) ซึ่งมีสถานะ (State) และรูปพรรณ (Identity) ประจำพฤติกรรม (Behavior) 
Java คืออะไร จาวา คือภาษาคอมพิวเตอร์ สำหรับเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุ
เพิ่มคำอธิบายภาพ

     ข้อดีของ ภาษา Java
     -  ภาษา Java เป็นภาษาที่สนับสนุนการเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุแบบสมบูรณ์ ซึ่งเหมาะสำหรับพัฒนาระบบที่มีความซับซ้อน การพัฒนาโปรแกรมแบบวัตถุจะช่วยให้เราสามารถใช้คำหรือชื่อ ต่าง ๆ ที่มีอยู่ในระบบงานนั้นมาใช้ในการออกแบบโปรแกรมได้ ทำให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น
     -  โปรแกรมที่เขียนขึ้นโดยใช้ภาษา Java จะมีความสามารถทำงานได้ในระบบปฏิบัติการที่แตกต่างกัน ไม่จําเป็นต้องดัดแปลงแก้ไขโปรแกรม เช่น หากเขียนโปรแกรมบนเครื่อง Sun โปรแกรมนั้นก็สามารถถูก compile และ run บนเครื่องพีซีธรรมดาได้
     -ภาษาจาวามีการตรวจสอบข้อผิดพลาดทั้งตอน compile time และ runtime ทำให้ลดข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นในโปรแกรม และช่วยให้ debug โปรแกรมได้ง่าย
     - ภาษาจาวามีความซับซ้อนน้อยกว่าภาษา C++ เมื่อเปรียบเทียบ code ของโปรแกรมที่เขียนขึ้นโดยภาษา Java กับ C++ พบว่า โปรแกรมที่เขียนโดยภาษา Java จะมีจํานวน code น้อยกว่าโปรแกรมที่เขียนโดยภาษา C++ ทำให้ใช้งานได้ง่ายกว่าและลดความผิดพลาดได้มากขึ้น 
     -  ภาษาจาวาถูกออกแบบมาให้มีความปลอดภัยสูงตั้งแต่แรก ทำให้โปรแกรมที่เขียนขึ้นด้วยจาวามีความปลอดภัยมากกว่าโปรแกรมที่เขียนขึ้น ด้วยภาษาอื่น เพราะ Java มี security ทั้ง low level และ high level ได้แก่ electronic signature, public andprivate key management, access control และ certificatesของ
     -มี IDE, application server, และ library ต่าง ๆ มากมายสำหรับจาวาที่เราสามารถใช้งานได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ทำให้เราสามารถลดค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียไปกับการซื้อ tool และ s/w ต่าง ๆ
    ข้อเสียของ ภาษา Java
    -ทำงานได้ช้ากว่า native code (โปรแกรมที่ compile ให้อยู่ในรูปของภาษาเครื่อง) หรือโปรแกรมที่เขียนขึ้นด้วยภาษาอื่น อย่างเช่น C หรือ C++ ทั้งนี้ก็เพราะว่าโปรแกรมที่เขียนขึ้นด้วยภาษาจาวาจะถูกแปลงเป็นภาษากลาง ก่อน แล้วเมื่อโปรแกรมทำงานคำสั่งของภาษากลางนี้จะถูกเปลี่ยนเป็นภาษาเครื่องอีก ทีหนึ่ง ทีล่ะคำสั่ง (หรือกลุ่มของคำสั่ง) ณ runtime ทำให้ทำงานช้ากว่า native code ซึ่งอยู่ในรูปของภาษาเครื่องแล้วตั้งแต่ compile  โปรแกรมที่ต้องการความเร็วในการทำงานจึงไม่นิยมเขียนด้วยจาวา
    -tool ที่มีในการใช้พัฒนาโปรแกรมจาวามักไม่ค่อยเก่ง ทำให้หลายอย่างโปรแกรมเมอร์จะต้องเป็นคนทำเอง ทำให้ต้องเสียเวลาทำงานในส่วนที่ tool ทำไม่ได้ ถ้าเราดู tool ของ MS จะใช้งานได้ง่ายกว่า และพัฒนาได้เร็วกว่า (แต่เราต้องซื้อ tool ของ MS และก็ต้องรันบน platform ของ MS)







จุดเด่นของภาษาจาวา

–  ความง่าย (simple)
–  ภาษาเชิงออปเจ็ค (object oriented)
–  การกระจาย (distributed)
–  การป้อ้องกันการผิดพลาด (robust)
–  ความปลอดภัย (secure)
–  สถาปัตัตยกรรมกลาง (architecture neutral)
–  เคลื่อนย้ายง่าย (portable)
–  อินเตอร์พ์พรีต (interpreted)
–  ประสิทธิภาพสูง (high performance)
–  มัลติเธรด (multithreaded)
–  พลวัต (dynamic)

วันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2558

social network

                                     

 ""  พวกเรานั้นที่อยู่ในวัยเรียน รวมทั้งวัยทำงาน หรือ เเม้เเต่ผู้สูงอายุในปัจจุบันก็ต่างรู้จักโซเซียลเน็ตเวิร์คทั้งนั้นคงปฏิเสธไม่ได้ว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราไปเเล้วเเทบจะเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยในปัจจุบัน  เเต่ทุกสิ่งย่อมมี 2 ด้านทั้งด้านให้คุณ เเละ ด้านที่ให้โทษ ดังนั้นเราก็อาจจะสงสัยกันเลยสิ่งนี้จะเป็นประโยชน์หรือโทษกันเเน่ ""




.
.
.

"ก่อนอื่นต้องรู้ก่อนว่าโซเซียลเน็ตเวิร์คืออะไรก่อน"

Social Network คืออะไร

โซเชียลเน็ตเวิร์ค หรือ Social Network คือเครือข่ายสังคมออนไลน์  หรือการที่ผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตคนหนึ่ง เชื่อมโยงกับเพื่อนอีกนับสิบ รวมไปถึงเพื่อนของเพื่อนอีกนับร้อย  ผ่านผู้ให้บริการด้านโซเชียลเน็ตเวิร์ค (Social Network) บนอินเตอร์เน็ต เช่น Facebook, Blogger, Hi5, Twitter หรือ Tagged เป็นต้น

 

เเละยังสามารถเเบ่งเเยกได้อีกมากมายหลายประเภททั้งในด้านการเผยเเพร่ตัวเองให้เป็นที่รู้จัก, การเผยการหาสิ่งที่ตนสนใจ,  เเพร่ผลงานอย่างเช่นการทำบล็อกนี้ก็ถือเป็นโซเซียลเน็ตเวิร์คได้เช่นกัน
ดังนั้นเราจึงเป็นได้ว่าโซเซียลเน็ตเวิร์คในปัจจุบันเเทบจะเป็นทุกอย่างในอินเทอร์เน็ตที่เราเห็นเป็นประจำก็ว่าได้....


"เเละมันเกียวกับตัวเรายังไงหล่ะ."
.
.

เเละ Social Network เกียวกับสังคมเเละนักเรียนไทยอย่างไร ???

เกี่ยวเเทบจะทุกอย่างเลยครับเพราะ  ปัจจุบันมันเเทบจะเป็นทางเลือกการศึกษาเพิ่มเติมของนักเรียนยุคปัจจุบันเลยทีเดียว
                  
            มาถึงยุคนี้เราคงไม่เห็นเด็กนักเรียนคนไหนไม่รู้จักการต่อเน็ต เเชท หรือ การเล่นโซเซียลเน็คเวิร์คไม่เป็นหรอกมั้งครับมันคงจะเเปลกเกินไปที่เห็นเเน่นอน เพราะมันเป็นสิ่งที่เข้าถึงง่ายข้อให้คุณมีรหัสเน็ต  กดจิ้มไม่กี่ทีคุณกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิคของคุณก็จะไปโลดเเล่นในโลกขอโซเซียลเน็ตเวิร์คได้อย่างง่ายดายเเล้วครับ   เเต่อย่างที่ผมเคยบอกไปมันก็ไม่ได้ดีไปซะทุกอย่าง  เพราะว่าด้วยความที่เราเข้าถึงมันง่ายเรา  เเละเป็นสิ่งที่ไกลตัวเราเราสามารถเป็นอย่างไรก็ได้ในโลกของเราเราอยากจะทำไรก็ได้เเละด้วยความที่เป็นสิ่งที่เป็นตัวเเทนของเรา เราจึงอาจไม่ได้สนใจผลลัพธ์ที่เรากระทำให้โซเซียลก็ได้ในโลกเเห่งความเป็นจริงคุณอาจไม่ได้เป็นอย่างนั้นก็ได้ใครจะไปรู้  ดังนั้น จึงเกิดสังคมเสมือน  ที่เราไม่รู้เลยว่าเค้าคือใคร ที่ตัวตนที่เเท้จริงของเขาเป็นดังโซเซียลเน็ตเวิร์คหรือเปล่าก็ไม่รู้

.
.



 ##อาจจะโซเซียลเน็ตเวิร์คมีประโยชน์มากเเต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีโทษ!!! ###

         จริงของพวกเราที่เราใช้โซเซียลมีเดียในด้านต่างๆ  ทั้งการดูผลงานผู้ที่มีความชอบตรงกัน ติดต่อสื่อสารกับเพื่อนฝูง หรือเเม้กระทั้งการสืบค้นข้อมูลสำคัญๆทีมีประโยชน์ เเต่เราเคยคิดไหมว่าเรานั้น เสพติดโซเซียวเน็ตเวิร์คมากไป หรือเปล่า ???
     
       ผมในฐานะของคนที่ใช้ ก็ขอออกเสียงอีกเสียงหนึ่งว่าใช้ปัจจุบันเราพึ่งพามันมากเกินไปเป็นสิ่งที่ทำให้เรา รู้สึกขาดหากไม่ได้ใช้คุณก็ลองนึกสภาพดูว่าหากขาดมันไปชีวิตคุณจะเป็นอย่างไรเเต่สิ่งนี้ก็เหมือนเป็นเงาตามตัวอยู่เเล้วหาใช้โซเซียลเน็ตเวิร์คไม่ใช้เพียงประเทศไทยเท่านั้นที่มีปัญหานี้ทุกประเทศก็มีปัญหานี้เช่นกันเพราะปัญหานี้เเทบเป็นปัญหาโลกเเตกในตอนนี้เลยทีเดียว....




** ดังนั้นประโยชน์เเละโทษอาจไม่สามารถระบุได้เพราะทุกอย่างขึ้นอยู่กับตัวคุณเอง **

      ขอให้เราตระหนักรู้ตนเอง ยับยั่งชั้งใจของตัวเองไม่ให้หลงระเริงกับมันมากนักใช้มันให้เป็นประโยชน์ เเก่เรามากที่สุดเเต่ทำให้มันเป็นปัญหาน้อยที่สุด สนใจคนรอบข้างเปิดหาสิ่งต่างๆด้วยตัวเองเชื้อผมสิว่ามีสิ่งดีดีตั้งมากมายให้คุณได้ค้นหามากกว่าโลกสีเหลี่ยมเเคบๆ ในจอนี้อีกเยอะ 
..................................................................................................................................................



















วันพฤหัสบดีที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2558

เทคโนโลยีในชีวิตประจำวัน

        
 ''เราต้องยอมรับเลยว่าเทคโนโลยีในปัจจุบันค่อนข้างมีผลต่อมนุษย์อย่างเรามาก จนเเทบจะเป็นปัจจัยที่ 5 ไปเเล้วในปัจจุบันพวกเราใช้เทคโนโลยีกับทุกทุกด้านตั้งเเต่ การศึกษา เครื่องอำนวยความสะดวกต่างต่าง โทรศัพท์มือถือ หรือ การบริหารจัดการในด้านต่างๆ  ล้วนใช้เทคโนโลยีทั้งสิ้น ''
                     
ก่อนอืนก็มารู้กันก่อนว่าเทคโนโลยีคืออะไร

 เทคโนโลยี คือ 

เทคโนโลยี (Technology) คือ การใช้ความรู้ เครื่องมือ ความคิด หลักการ เทคนิค ความรู้ ระเบียบวิธี กระบวนการตลอดจน ผลงานทางวิทยาศาสตร์ทั้งสิ่งประดิษฐ์และวิธีการ มาประยุกต์ใช้ในระบบงานเพื่อช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการทำงานให้ดียิ่ง ขึ้นและเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลของงานให้มีมากยิ่งขึ้น
การใช้เทคโนโลยีในชีวิตประจำวัน

ในปัจจุบันเราสามารถเข้าถึงข่าวสารข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว เเละใช้อำนวยความสะดวกต่างต่างตั้งเเต่ นาฬิกาปุก จนถึง ยานพาหะนะที่ใช้ในการขับขี่นอกจากนั้นยังใช้ในด้านความบันเทิงในด้านต่างๆ จนเป็นสิ่งที่ใกล้ชิดกับตัวเรามากที่สุดเลยก็ว่าได้เเต่เราก็ควรตระหนักว่าเทคโนโลยีนั้นก็มีประโยชน์มากมายมหาศาสเเต่ก็มีโทษเช่นกันถ้าเราเอาไปใช้ในทางที่ผิดเสมือนดาบสองคมในอินเทอเน็ตเราไม่สามารถรู้ได้ว่าคนที่เรานั้นติดต่อ หรือคุยด้วยนั้นคือใครก็เปรียบเสือนเป็นช่องว่างให้คนที่คิดไม่ดีกับเราสามารถถึงตัวเราได้อย่างง่ายดายดังนั้นเราจึงควรระมัดระวังตัวในการใช้เทคโนโลยีให้มากด้วยนอกจากนี้จากการที่มนุษย์เราพึ่งพาเทคโนโลยีมากจนเกินไป ก็ทำให้เกิดผลเสียแก่ตัวเราได้ด้วยเช่นกัน เพราะการพึ่งพาเทคโนโลยีมากเกินไปจะทำให้คนเราเกิดความเคยชินจากการนำเทคโนโลยีมาใช้อำนวยความสะดวกในชีวิต จนทำให้บางครั้งเราก็ทำอะไรไม่เป็นไม่สามารถคิดอะไรได้เพราะมีเทคโนโลยีมาช่วย และอาจส่งผลให้ในอนาคตมนุษย์จะมีความสามารถลดน้อยลง และเทคโนโลยีหรือเครื่องจักรต่าง ๆ ก็จะมีความสำคัญมากกว่ามนุษย์
จากที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่าเทคโนโลยีมีทั้งประโยชน์และโทษ ดังนั้นการใช้เทคโนโลยีที่ถูกวิธีจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ และต้องไม่ใช้เทคโนโลยีในทางที่ผิดที่จะส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อทั้งตนเองและผู้อื่น และในขณะเดียวกันมนุษย์เราก็จะต้องหันกลับมาพึ่งพาตัวเองบ้าง และใช้เทคโนโลยีเฉพาะเท่าที่จำเป็นเท่านั้น และในบางครั้งผู้ใหญ่หรือผู้ปกครองก็ต้องเข้ามาดูแลเด็ก และให้คำแนะนำแก่เด็กด้วยเพื่อไม่ให้เด็กเหล่านี้เข้าไปเสพย์สื่อที่ผิดเบือนและผิดศีลธรรม